ครูสาวรีวิว! ชีวิตครูในปัจจุบัน เผยสาเหตุลาออก งานเอกสารเยอะเกิน เหนื่อยจนกลืนชีวิต
ครูสาวโพสต์ ลาออกจากข้าราชการ เหตุทนไม่ไหวกับระบบที่ราชการครูปัจจุบันที่บ้างานเอกสารจนงานกลืนกินชีวิต ลั่นครูที่สบายคือครูที่ตายแล้ว กับครูที่ไม่ทำงานวันนี้ (2 พ.ค.) เฟซบุ๊ก "Sunsanee Wonghong" ได้เล่าเรื่องราวขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในระบบข้าราชการ ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดลาออกเพราะทนกับระบบงานเอกสารไม่ไหว งานโรงเรียนกลืนกินชีวิต จนลืมว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตเช่นกัน โดยระบุข้อความว่า "ลาออกจากราชการ บันทึกความทรงจำ ณ 1 พ.ค. 2566 โดยจบปริญญาโท สาขาการสอนสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566 ได้ยื่นคำร้องขอลาออกจากราชการ โดยมีคำสั่ง สพม.จบตร ที่ 101/2566 อนุญาตให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาลาออกจากราชการ มีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 รวมเวลารับราชการรวม 10 ปี 8 เดือน 24 วันสิ่งที่ภาคภูมิใจในอดีตที่ผ่านมา- การสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ลำดับที่ 4 ของเขต- เรียนจบปริญญาโทด้านการสอนมาอย่างเข้มข้นจนหยดสุดท้าย- ทุ่มเทกับการสอนมาอย่างดีตลอดอายุราชการ- ทุ่มเทกับงานราชการมาอย่างหนักไม่เคยแผ่ว- การเป็นครูบรรจุใหม่ที่หนองบอนวิทยาคมทำให้มีโอกาสทำงานพิธีกรจากการชักชวนของพี่ปัท จากคนที่พูดน้อยมากจนกลายเป็นความสามารถพิเศษในปัจจุบัน และเป็นทักษะติดตัวที่ต่อยอดในการรับราชการได้อย่างดี- และไม่ว่ารับราชการอยู่ที่โรงเรียนไหน ศันสนีย์พบว่าได้โอกาสทำงานสำคัญๆ อยู่เสมอ ตำแหน่งล่าสุดที่ได้รับก่อนลาออก หัวหน้างานสภานักเรียน รองหัวหน้าระดับ ม.4 และมีส่วนร่วมกับงานสำคัญๆ ของโรงเรียนจากการเป็นหัวหน้างานสภานักเรียนอีกมากมายคำถามที่หลายคนคงถามตรงกันคือ ลาออกทำไม1. ชีวิตการเป็นครูของศันสนีย์ในปัจจุบันนั้นเหนื่อยและหนักหนามาก สมกับคำว่า “คุรุ” ที่แปลว่า หนัก ตั้งแต่รับราชการมา ไม่เคยมีคำว่าสบาย ใครที่บอกอาชีพครูสบายนี่อยากให้มาลองเลย2. ศันสนีย์ไม่ได้เป็นครูอย่างเดียว เป็นชาวสวนด้วย และเป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ เดิมจันทร์-ศุกร์ กลางวันและกลางคืนทำงานโรงเรียน เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดอื่นๆทำงานสวน แต่ปัจจุบันพบว่างานโรงเรียนได้กลืนกินชีวิตศันสนีย์ไปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แทบไม่มีเวลาให้กับสวนหรือการพักผ่อนเลย เสาร์-อาทิตย์ กลางวันกลางคืนยังนั่งพิมพ์งานแง็กๆ อยู่หน้าคอมพ์ งานโรงเรียนหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน ช่วงเวลาสำคัญของสวนเช่นการแต่งลูกและการขายมันเป็นดีลสำคัญมาก แต่ก็มาไม่ได้ต้องไปโรงเรียน3. เหตุผลจากข้อ 1 เริ่มทำให้ศันสนีย์เริ่มกินข้าวไม่ตรงเวลาจนถึงไม่ได้กินข้าวเที่ยงหลายครั้ง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย และเมื่อต้องทำสวนด้วยแน่นอนว่าคำว่าพักผ่อนจึงไม่มีบนโลกของศันสนีย์ เป็นครูก็หนัก ทำสวนก็หนัก ร่างกายและจิตใจก็เริ่มพังเรื่อยๆ คนที่ทำอาชีพครูอย่างเดียว หรือทำสวนอย่างเดียวจึงอาจไม่เข้าใจ4. ความคิดว่าจะลาออกไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่าปีแล้วแค่ไม่ได้พูดกับใครเยอะ จู่ๆ เป้าหมายของชีวิตก็คือการลาออกเฉย ถามว่าทำไม? เราเบื่อระบบหลายๆ ตรงที่มันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เป็นระบบที่บ้าเอกสารมาก ต้องปั่นเอกสารหนาๆ เยอะมาก แต่ไม่ได้มีใครอ่านหรอก ดูแค่ว่าปกคืออะไรหนาไหม ส่งยัง จบ!! แล้วก็เบื่อวิถีของครูที่บ้าการแข่งขัน ไม่อยากแข่งก็ต้องแข่ง เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพื่อให้มีผลงาน เด็กบางกลุ่มบางคนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะแข่ง ศปหถก. เอาจริงๆ นะส่งครูแข่งเถอะ หมดงบกันไปเท่าไหร่ ความรู้สึกส่วนตัวมองว่าเรากำลังหลงทางกันรึเปล่า สิ่งที่เราควรโฟกัสคือการสอนในห้อง งานสอนมันต้องมาลำดับ 1 ไม่ใช่งานพิเศษ ไม่ใช่งานอื่น และก็มีอีกหลายประเด็นที่คนเป็นครูก็รู้กันดี การรอให้อายุราชการครบ 25 ปีแล้วค่อยลาออก สำหรับศันสนีย์จึงเป็นไปได้ยากมากๆ5. สุดท้ายก็ตกตะกอนว่า การรับราชการครูดีนะ ศันสนีย์ภูมิใจที่ได้รับราชการครู เงินเดือนดีกว่าราชการอื่นๆ มีสวัสดิการให้นั่นนี่ แต่สิ่งที่ต้องแลกคือสุขภาพกาย ใจ เวลา ชีวิต ที่ต้องทุ่ม ณ ตอนนี้เริ่มมองว่ามันไม่คุ้ม ครูที่สบายคือครูที่ตายแล้ว กับครูที่ไม่ทำงาน เราเป็นคนทำอะไรจริงจังและทุ่มเท การให้เราหลอยๆ ค่อยๆ ลดงาน จนเป็นครูที่ไม่ทำงาน ไม่ใช่วิถีของศันสนีย์ อาชีพครูก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่มันแค่ไม่เข้ากันกับสิ่งที่เราเป็นในปัจจุบันแล้ว ในอดีตเป้าหมายของชีวิตคือการเติบโตในชีวิตราชการ แต่ปัจจุบันความคิดเปลี่ยนไป เป้าหมายของชีวิตเราคือการได้ใช้ชีวิต มีสุขภาพกายใจที่ดี และมีเวลากับครอบครัว" 6608
ครูสาวโพสต์ ลาออกจากข้าราชการ เหตุทนไม่ไหวกับระบบที่ราชการครูปัจจุบันที่บ้างานเอกสารจนงานกลืนกินชีวิต ลั่นครูที่สบายคือครูที่ตายแล้ว กับครูที่ไม่ทำงาน
วันนี้ (2 พ.ค.) เฟซบุ๊ก "Sunsanee Wonghong" ได้เล่าเรื่องราวขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในระบบข้าราชการ ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดลาออกเพราะทนกับระบบงานเอกสารไม่ไหว งานโรงเรียนกลืนกินชีวิต จนลืมว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตเช่นกัน โดยระบุข้อความว่า "ลาออกจากราชการ บันทึกความทรงจำ ณ 1 พ.ค. 2566 โดยจบปริญญาโท สาขาการสอนสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566 ได้ยื่นคำร้องขอลาออกจากราชการ โดยมีคำสั่ง สพม.จบตร ที่ 101/2566 อนุญาตให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาลาออกจากราชการ มีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 รวมเวลารับราชการรวม 10 ปี 8 เดือน 24 วัน
สิ่งที่ภาคภูมิใจในอดีตที่ผ่านมา
- การสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ลำดับที่ 4 ของเขต
- เรียนจบปริญญาโทด้านการสอนมาอย่างเข้มข้นจนหยดสุดท้าย
- ทุ่มเทกับการสอนมาอย่างดีตลอดอายุราชการ
- ทุ่มเทกับงานราชการมาอย่างหนักไม่เคยแผ่ว
- การเป็นครูบรรจุใหม่ที่หนองบอนวิทยาคมทำให้มีโอกาสทำงานพิธีกรจากการชักชวนของพี่ปัท จากคนที่พูดน้อยมากจนกลายเป็นความสามารถพิเศษในปัจจุบัน และเป็นทักษะติดตัวที่ต่อยอดในการรับราชการได้อย่างดี
- และไม่ว่ารับราชการอยู่ที่โรงเรียนไหน ศันสนีย์พบว่าได้โอกาสทำงานสำคัญๆ อยู่เสมอ ตำแหน่งล่าสุดที่ได้รับก่อนลาออก หัวหน้างานสภานักเรียน รองหัวหน้าระดับ ม.4 และมีส่วนร่วมกับงานสำคัญๆ ของโรงเรียนจากการเป็นหัวหน้างานสภานักเรียนอีกมากมาย
คำถามที่หลายคนคงถามตรงกันคือ ลาออกทำไม
1. ชีวิตการเป็นครูของศันสนีย์ในปัจจุบันนั้นเหนื่อยและหนักหนามาก สมกับคำว่า “คุรุ” ที่แปลว่า หนัก ตั้งแต่รับราชการมา ไม่เคยมีคำว่าสบาย ใครที่บอกอาชีพครูสบายนี่อยากให้มาลองเลย
2. ศันสนีย์ไม่ได้เป็นครูอย่างเดียว เป็นชาวสวนด้วย และเป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ เดิมจันทร์-ศุกร์ กลางวันและกลางคืนทำงานโรงเรียน เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดอื่นๆทำงานสวน แต่ปัจจุบันพบว่างานโรงเรียนได้กลืนกินชีวิตศันสนีย์ไปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แทบไม่มีเวลาให้กับสวนหรือการพักผ่อนเลย เสาร์-อาทิตย์ กลางวันกลางคืนยังนั่งพิมพ์งานแง็กๆ อยู่หน้าคอมพ์ งานโรงเรียนหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน ช่วงเวลาสำคัญของสวนเช่นการแต่งลูกและการขายมันเป็นดีลสำคัญมาก แต่ก็มาไม่ได้ต้องไปโรงเรียน
3. เหตุผลจากข้อ 1 เริ่มทำให้ศันสนีย์เริ่มกินข้าวไม่ตรงเวลาจนถึงไม่ได้กินข้าวเที่ยงหลายครั้ง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย และเมื่อต้องทำสวนด้วยแน่นอนว่าคำว่าพักผ่อนจึงไม่มีบนโลกของศันสนีย์ เป็นครูก็หนัก ทำสวนก็หนัก ร่างกายและจิตใจก็เริ่มพังเรื่อยๆ คนที่ทำอาชีพครูอย่างเดียว หรือทำสวนอย่างเดียวจึงอาจไม่เข้าใจ
4. ความคิดว่าจะลาออกไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่าปีแล้วแค่ไม่ได้พูดกับใครเยอะ จู่ๆ เป้าหมายของชีวิตก็คือการลาออกเฉย ถามว่าทำไม? เราเบื่อระบบหลายๆ ตรงที่มันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เป็นระบบที่บ้าเอกสารมาก ต้องปั่นเอกสารหนาๆ เยอะมาก แต่ไม่ได้มีใครอ่านหรอก ดูแค่ว่าปกคืออะไรหนาไหม ส่งยัง จบ!! แล้วก็เบื่อวิถีของครูที่บ้าการแข่งขัน ไม่อยากแข่งก็ต้องแข่ง เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพื่อให้มีผลงาน เด็กบางกลุ่มบางคนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะแข่ง ศปหถก. เอาจริงๆ นะส่งครูแข่งเถอะ หมดงบกันไปเท่าไหร่ ความรู้สึกส่วนตัวมองว่าเรากำลังหลงทางกันรึเปล่า สิ่งที่เราควรโฟกัสคือการสอนในห้อง งานสอนมันต้องมาลำดับ 1 ไม่ใช่งานพิเศษ ไม่ใช่งานอื่น และก็มีอีกหลายประเด็นที่คนเป็นครูก็รู้กันดี การรอให้อายุราชการครบ 25 ปีแล้วค่อยลาออก สำหรับศันสนีย์จึงเป็นไปได้ยากมากๆ
5. สุดท้ายก็ตกตะกอนว่า การรับราชการครูดีนะ ศันสนีย์ภูมิใจที่ได้รับราชการครู เงินเดือนดีกว่าราชการอื่นๆ มีสวัสดิการให้นั่นนี่ แต่สิ่งที่ต้องแลกคือสุขภาพกาย ใจ เวลา ชีวิต ที่ต้องทุ่ม ณ ตอนนี้เริ่มมองว่ามันไม่คุ้ม ครูที่สบายคือครูที่ตายแล้ว กับครูที่ไม่ทำงาน เราเป็นคนทำอะไรจริงจังและทุ่มเท การให้เราหลอยๆ ค่อยๆ ลดงาน จนเป็นครูที่ไม่ทำงาน ไม่ใช่วิถีของศันสนีย์ อาชีพครูก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่มันแค่ไม่เข้ากันกับสิ่งที่เราเป็นในปัจจุบันแล้ว ในอดีตเป้าหมายของชีวิตคือการเติบโตในชีวิตราชการ แต่ปัจจุบันความคิดเปลี่ยนไป เป้าหมายของชีวิตเราคือการได้ใช้ชีวิต มีสุขภาพกายใจที่ดี และมีเวลากับครอบครัว"
6608
ปฏิกิริยาของคุณคืออะไร?