เผย 9 สาเหตุที่ทำให้ครูไทยส่วนมากเป็นหนี้
1.เพราะครูต้องกู้ซื้อรถรถที่ซื้อไม่ใช่เพราะคนเป็นครูจะต้องทำตัวหรูหรือไฮโซหรอกนะ แต่เป็นรถที่ใช้ในการขนส่งเด็กๆนักเรียนออกนอกพื้นที่ อย่างเช่นงานแข่งขันวิชาการต่างๆ จะให้ไปเช่าไปยืมรถของคนอื่นก็ดูยุ่งยาก และต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้น อีกทั้งต้องไปง้องอนเขาให้มาช่วยอีก ครูทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องมีรถขับพอได้ประทังชีวิตครู และรถของครูก็ไม่ใช่รถของตัวเองซะด้วย หากคิดดูให้ดีคิดให้ลึก รถของครูทุกคนก็กลายเป็นรถหลวงไปซะหมดแล้ว ทั้งใช้เดินทางมาทำงาน ใช้เดินทางไปอบรมในที่ต่างๆ ใช้ขนส่งนักเรียนผู้น่ารัก ใช้พานักเรียนไปหาหมอยามที่นักเรียนไม่สบาย ใช้สำหรับซื้อสิ่งของหรือบรรทุกวัสดุก่อสร้างภายในโรงเรียน จะว่าไปแล้วรถของครูนี่ก็ใช้งานกันคุ้มค่าเกินราคาจริงๆ แล้วจะไม่ให้กู้ซื้อรถกันได้อย่างไรเล่าครับพี่น้อง!2.เพราะครูต้องมีภาระหน้าที่ทางครอบครัวครูก็คน คนก็คือครู ครูทุกคนมีครอบครัวมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ที่ท่านมีพระคุณต่อเราที่จะต้องตอบแทน เมื่อเราได้ดิบได้ดีมีการมีงานทำ คนที่ขึ้นชื่อว่าลูกก็จำเป็นจะต้องดูแลท่านให้ท่านได้อยู่อย่างสุขสบายเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้สบายถึงขั้นมหาเศรษฐีก็ขอให้ท่านได้พอมีพอกินพอใช้ก็พอ มีบ้านที่ฝนตกแล้วไม่รั่วเหมือนเมื่อครั้งที่ท่านเคยส่งเราเรียนหนังสือ ส่งเราเรียนจบได้มีงานทำที่ดีและนั่นก็คือหน้าที่ของเราที่จะตอบตอบแทนบุญคุณของท่าน แต่ลำพังเงินเดือนของเราที่ไม่ได้มีมากมายนัก กอปรกับค่าเงินบาทที่ดูเฟ้อ ลำพังซื้อชุดมาใส่ไปทำงานได้ก็กินเนื้อที่ของเงินเดือนไปแล้ว 1 ใน 3 ส่วน ก็เลยจำเป็นที่จะต้องกู้และนอกเหนือจากภาระหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูพ่อและแม่แล้ว ครูก็ยังเหลือครอบครัวของตัวเองให้เลี้ยงดูอีกเช่นกัน ไหนจะค่าเทอมลูก ค่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ค่าเล่าเรียนที่บอกว่าเบิกได้ นั่นก็คงจะไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งลูกๆเรียนกันแน่เชียว และนี่แหละคือสาเหตุที่ครูเราจำเป็นที่จะต้องกู้ เพราะเราไม่ได้อยู่โดยโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ความรับผิดชอบต่างๆจึงถูกกระจายไปถึงทุกคน3.เพราะครูต้องซื้อชุดใส่ให้ถูกวัน“ถ้าร่างกายของฉัน มันไม่เจริญเติบโต ฉันก็คงใส่เสื้อผ้าตัวเดิมได้” ครูท่านหนึ่งกล่าวทั้งน้ำตาในวันเปิดเทอมวันแรก ในขณะที่พุงของเขาเริ่มจะแสดงถึงอาการที่ไม่พอใจกับเสื้อตัวเก่าที่เขาเคยใส่ลองคิดดูสิครับ ครูต้องทำงาน 5 วันเต็มและในแต่ละวันครูก็ต้องใส่ชุดที่แตกต่างให้ตรงวัน อย่างเช่นวันจันทร์ใส่ชุดกากี วันอังคารใส่ผ้าไทย วันพุธใส่ชุดลูกเสือ(ชุดลูกเสือบางจังหวัดใส่วันพฤหัสบดี) วันพฤหัสบดีใส่ชุดกีฬา วันศุกร์ใส่ชุดพื้นเมือง (ครูในแต่ละพื้นที่จะใส่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับนโยบายของทางจังหวัด หรือทางเขตพื้นที่) แล้วชุดที่ใส่กันในแต่ละวันก็ถูกน่าดูทีเดียว อย่างเช่นผ้าไทยก็ตกอยู่ที่ 1,000+ บาท ผู้ชายไม่แพงเท่าไหร่ แต่ของผู้หญิงนี่สิแพงขึ้นมาหน่อย ยิ่งท่าเนื้อผ้าดีก็จะเพิ่มราคาขึ้นมา แล้วลองคิดดูว่าต้องใส่ 5 ชุดที่ไม่ซ้ำกัน แล้วไหนบางชุดใส่ได้พอดี บางชุดก็ทรยศพุงเราก็มี จากที่เคยใส่ได้อยู่ดีดี มาวันหนึ่งก็ต้องบอกลาจากกันไป เพราะเรากับเขาเข้ากันไม่ได้บางครั้งเรื่องนี้มันอาจจะดูเล็กๆน้อยๆ แต่ขอบอก เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก สำหรับครูน้อยๆ อย่างพวกเรา…4.เพราะครูต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาช่วยสอนงบรายหัวค่าตกแต่งห้องเรียน ขอบอกตรงๆว่าไม่พอใช้จ่ายกันหรอกครับ ถ้าจะตกแต่งห้องกันจริงๆคงต้องเพิ่มงบ โดยเฉพาะเรื่องสื่อการสอนยิ่งไปกันใหญ่ สื่อบางตัวครูก็ต้องควั๊กกระเป๋า(แบนแฟนทิ้ง)จ่ายซื้อเองด้วยน้ำพักน้ำแรงและหยาดเหงื่อที่เราแลกมา เช่น ค่ากระดาษที่ไม่พอสำหรับปริ้นใบงาน ค่าหมึก ค่าเครื่องปริ้นเตอร์(ที่เสียบ่อยเสียยิ่งกว่าอะไรดี บางวันมีงอนด้วย เสียที่โรงเรียน พอยกไปที่ร้าน แค่ถึงร้านเท่านั้นแหละใช้ได้เฉยเลย) ครูบางคนลงทุนซื้อเครื่องโปรเจคเตอร์เอง ซื้อสื่อการสอนที่เขามาเร่ขายที่หน้าเขตพื้นที่ ครูบางท่านโหดกว่านั้นลงทุนซื้อเครื่องดนตรีแพงๆนำมาสอนนักเรียนก็มีเพราะของแบบนี้จะให้ไปรองบหลวงที่รวดเร็วประดุจสายฟ้าฟาด(ประชด) หรือต้องไปขออ้อนวอนของบจากผู้อำนวยการก็ยากเสียยิ่งกระไร บางคนบอกว่ายากยิ่งกว่าการไปตามง้อแฟนเก่าเสียอีก สู้ซื้อเอาเองจะไม่ดีกว่าเหรอ ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม…5.เพราะครูต้องพัฒนาตน(เรียนต่อ)ในยุคปัจจุบันถ้าเราจะเป็นครูก็คงจะเป็นยากหน่อยหากครูไม่ยอมที่จะพัฒนาตน พัฒนาความรู้ของตัวเองให้ทัดเทียมกับความรู้ของเด็กๆในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคของนักเรียนที่อยู่ในเจเนอเรชั่น Y ของคนที่เกิดตั้งแต่ปีพ.ศ.2540 ขึ้นไปเป็นยุคที่เด็กๆเติบโตมากับเทคโนโลยีมากมาย และพวกเขาสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายๆแค่เพียงคลิกเดียวเบาๆ ง่ายเสียยิ่งกว่าการหายใจเข้าปอดเสียอีก และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เด็กยุคนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วและทั้งเก่งทั้งฉลาดและคนเป็นครูถ้าจะรู้น้อยกว่าเด็กก็คงจะต้องอายเด็กแน่ๆ เดี๋ยวจะทำให้เด็กๆหมดศรัทธาในตัวเราไปเสียหมด ครูก็เลยจำเป็นต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ครูบางคนลงทุนไปเรียนต่อปริญญาโท หรือเรียนไปจนถึงปริญญาเอก(ขอชื่นชม) มาเพื่อจะมีความรู้สอนเด็กๆได้ให้สมกับคนที่ขึ้นชื่อว่าครู แต่การเรียนทุกครั้งก็ต้องใช้เงินไม่น้อย ว่ากันว่าเรียนต่อปริญญาโท ก็จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 2 แสนบาท (คิดว่ามากกว่านั้นนะ) แล้วจะให้ครูไปหาจากไหนเล่าถ้าเราไม่กู้6.เพราะครูต้องเติมน้ำมันไปอบรม“ถ้าจะว่าไปแล้วครูไทยคงเป็นอาชีพเดียวที่มีการอบรมมากที่สุดในกาแล็กซี่”ปัจจุบันค่าน้ำมันจากการไปอบรมได้กิโลเมตรละ 4 บาท (ราคานี้มาตั้งแต่สมัยพ่อขุน) แต่ที่บอกว่ากิโลเมตรละ 4 บาท นี้ไม่ได้หมายถึงเราได้วัดระยะกันจริงๆ แต่เราให้จากการประมาณการของระยะทาง ความเป็นจริงแล้วระยะทางที่ครูเขาขับรถไปเพื่อติดต่อราชการ หรือไปอบรมระยะทางเกินงบค่าประมาณกาหรือค่าน้ำมันที่ได้จากการเบิกจ่ายแน่นอน โรงเรียนบางแห่ง ครูบางคนไม่ได้เบิกเลย เพราะงบโรงเรียนเหลือน้อยจนเราต้องเสียสละ และครูบางคนก็เสียสละงบนี้ซะส่วนมาก(เกือบทุกคนไม่เบิกจ้า)7.เพราะครูไม่มีรายได้เสริมอาชีพครูถ้าจะทำ
1.เพราะครูต้องกู้ซื้อรถ
รถที่ซื้อไม่ใช่เพราะคนเป็นครูจะต้องทำตัวหรูหรือไฮโซหรอกนะ แต่เป็นรถที่ใช้ในการขนส่งเด็กๆนักเรียนออกนอกพื้นที่ อย่างเช่นงานแข่งขันวิชาการต่างๆ จะให้ไปเช่าไปยืมรถของคนอื่นก็ดูยุ่งยาก และต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้น อีกทั้งต้องไปง้องอนเขาให้มาช่วยอีก ครูทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องมีรถขับพอได้ประทังชีวิตครู และรถของครูก็ไม่ใช่รถของตัวเองซะด้วย หากคิดดูให้ดีคิดให้ลึก รถของครูทุกคนก็กลายเป็นรถหลวงไปซะหมดแล้ว ทั้งใช้เดินทางมาทำงาน ใช้เดินทางไปอบรมในที่ต่างๆ ใช้ขนส่งนักเรียนผู้น่ารัก ใช้พานักเรียนไปหาหมอยามที่นักเรียนไม่สบาย ใช้สำหรับซื้อสิ่งของหรือบรรทุกวัสดุก่อสร้างภายในโรงเรียน จะว่าไปแล้วรถของครูนี่ก็ใช้งานกันคุ้มค่าเกินราคาจริงๆ แล้วจะไม่ให้กู้ซื้อรถกันได้อย่างไรเล่าครับพี่น้อง!
2.เพราะครูต้องมีภาระหน้าที่ทางครอบครัว
ครูก็คน คนก็คือครู ครูทุกคนมีครอบครัวมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ที่ท่านมีพระคุณต่อเราที่จะต้องตอบแทน เมื่อเราได้ดิบได้ดีมีการมีงานทำ คนที่ขึ้นชื่อว่าลูกก็จำเป็นจะต้องดูแลท่านให้ท่านได้อยู่อย่างสุขสบายเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้สบายถึงขั้นมหาเศรษฐีก็ขอให้ท่านได้พอมีพอกินพอใช้ก็พอ มีบ้านที่ฝนตกแล้วไม่รั่วเหมือนเมื่อครั้งที่ท่านเคยส่งเราเรียนหนังสือ ส่งเราเรียนจบได้มีงานทำที่ดี
และนั่นก็คือหน้าที่ของเราที่จะตอบตอบแทนบุญคุณของท่าน แต่ลำพังเงินเดือนของเราที่ไม่ได้มีมากมายนัก กอปรกับค่าเงินบาทที่ดูเฟ้อ ลำพังซื้อชุดมาใส่ไปทำงานได้ก็กินเนื้อที่ของเงินเดือนไปแล้ว 1 ใน 3 ส่วน ก็เลยจำเป็นที่จะต้องกู้
และนอกเหนือจากภาระหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูพ่อและแม่แล้ว ครูก็ยังเหลือครอบครัวของตัวเองให้เลี้ยงดูอีกเช่นกัน ไหนจะค่าเทอมลูก ค่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ค่าเล่าเรียนที่บอกว่าเบิกได้ นั่นก็คงจะไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งลูกๆเรียนกันแน่เชียว และนี่แหละคือสาเหตุที่ครูเราจำเป็นที่จะต้องกู้ เพราะเราไม่ได้อยู่โดยโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ความรับผิดชอบต่างๆจึงถูกกระจายไปถึงทุกคน
3.เพราะครูต้องซื้อชุดใส่ให้ถูกวัน
“ถ้าร่างกายของฉัน มันไม่เจริญเติบโต ฉันก็คงใส่เสื้อผ้าตัวเดิมได้” ครูท่านหนึ่งกล่าวทั้งน้ำตาในวันเปิดเทอมวันแรก ในขณะที่พุงของเขาเริ่มจะแสดงถึงอาการที่ไม่พอใจกับเสื้อตัวเก่าที่เขาเคยใส่
ลองคิดดูสิครับ ครูต้องทำงาน 5 วันเต็มและในแต่ละวันครูก็ต้องใส่ชุดที่แตกต่างให้ตรงวัน อย่างเช่นวันจันทร์ใส่ชุดกากี วันอังคารใส่ผ้าไทย วันพุธใส่ชุดลูกเสือ(ชุดลูกเสือบางจังหวัดใส่วันพฤหัสบดี) วันพฤหัสบดีใส่ชุดกีฬา วันศุกร์ใส่ชุดพื้นเมือง (ครูในแต่ละพื้นที่จะใส่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับนโยบายของทางจังหวัด หรือทางเขตพื้นที่) แล้วชุดที่ใส่กันในแต่ละวันก็ถูกน่าดูทีเดียว อย่างเช่นผ้าไทยก็ตกอยู่ที่ 1,000+ บาท ผู้ชายไม่แพงเท่าไหร่ แต่ของผู้หญิงนี่สิแพงขึ้นมาหน่อย ยิ่งท่าเนื้อผ้าดีก็จะเพิ่มราคาขึ้นมา แล้วลองคิดดูว่าต้องใส่ 5 ชุดที่ไม่ซ้ำกัน แล้วไหนบางชุดใส่ได้พอดี บางชุดก็ทรยศพุงเราก็มี จากที่เคยใส่ได้อยู่ดีดี มาวันหนึ่งก็ต้องบอกลาจากกันไป เพราะเรากับเขาเข้ากันไม่ได้
4.เพราะครูต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาช่วยสอน
งบรายหัวค่าตกแต่งห้องเรียน ขอบอกตรงๆว่าไม่พอใช้จ่ายกันหรอกครับ ถ้าจะตกแต่งห้องกันจริงๆคงต้องเพิ่มงบ โดยเฉพาะเรื่องสื่อการสอนยิ่งไปกันใหญ่ สื่อบางตัวครูก็ต้องควั๊กกระเป๋า(แบนแฟนทิ้ง)จ่ายซื้อเองด้วยน้ำพักน้ำแรงและหยาดเหงื่อที่เราแลกมา เช่น ค่ากระดาษที่ไม่พอสำหรับปริ้นใบงาน ค่าหมึก ค่าเครื่องปริ้นเตอร์(ที่เสียบ่อยเสียยิ่งกว่าอะไรดี บางวันมีงอนด้วย เสียที่โรงเรียน พอยกไปที่ร้าน แค่ถึงร้านเท่านั้นแหละใช้ได้เฉยเลย) ครูบางคนลงทุนซื้อเครื่องโปรเจคเตอร์เอง ซื้อสื่อการสอนที่เขามาเร่ขายที่หน้าเขตพื้นที่ ครูบางท่านโหดกว่านั้นลงทุนซื้อเครื่องดนตรีแพงๆนำมาสอนนักเรียนก็มี
เพราะของแบบนี้จะให้ไปรองบหลวงที่รวดเร็วประดุจสายฟ้าฟาด(ประชด) หรือต้องไปขออ้อนวอนของบจากผู้อำนวยการก็ยากเสียยิ่งกระไร บางคนบอกว่ายากยิ่งกว่าการไปตามง้อแฟนเก่าเสียอีก สู้ซื้อเอาเองจะไม่ดีกว่าเหรอ ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม…
5.เพราะครูต้องพัฒนาตน(เรียนต่อ)
ในยุคปัจจุบันถ้าเราจะเป็นครูก็คงจะเป็นยากหน่อยหากครูไม่ยอมที่จะพัฒนาตน พัฒนาความรู้ของตัวเองให้ทัดเทียมกับความรู้ของเด็กๆในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคของนักเรียนที่อยู่ในเจเนอเรชั่น Y ของคนที่เกิดตั้งแต่ปีพ.ศ.2540 ขึ้นไป
เป็นยุคที่เด็กๆเติบโตมากับเทคโนโลยีมากมาย และพวกเขาสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายๆแค่เพียงคลิกเดียวเบาๆ ง่ายเสียยิ่งกว่าการหายใจเข้าปอดเสียอีก และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เด็กยุคนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วและทั้งเก่งทั้งฉลาด
และคนเป็นครูถ้าจะรู้น้อยกว่าเด็กก็คงจะต้องอายเด็กแน่ๆ เดี๋ยวจะทำให้เด็กๆหมดศรัทธาในตัวเราไปเสียหมด ครูก็เลยจำเป็นต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ครูบางคนลงทุนไปเรียนต่อปริญญาโท หรือเรียนไปจนถึงปริญญาเอก(ขอชื่นชม) มาเพื่อจะมีความรู้สอนเด็กๆได้ให้สมกับคนที่ขึ้นชื่อว่าครู แต่การเรียนทุกครั้งก็ต้องใช้เงินไม่น้อย ว่ากันว่าเรียนต่อปริญญาโท ก็จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 2 แสนบาท (คิดว่ามากกว่านั้นนะ) แล้วจะให้ครูไปหาจากไหนเล่าถ้าเราไม่กู้
6.เพราะครูต้องเติมน้ำมันไปอบรม
“ถ้าจะว่าไปแล้วครูไทยคงเป็นอาชีพเดียวที่มีการอบรมมากที่สุดในกาแล็กซี่”
ปัจจุบันค่าน้ำมันจากการไปอบรมได้กิโลเมตรละ 4 บาท (ราคานี้มาตั้งแต่สมัยพ่อขุน) แต่ที่บอกว่ากิโลเมตรละ 4 บาท นี้ไม่ได้หมายถึงเราได้วัดระยะกันจริงๆ แต่เราให้จากการประมาณการของระยะทาง ความเป็นจริงแล้วระยะทางที่ครูเขาขับรถไปเพื่อติดต่อราชการ หรือไปอบรมระยะทางเกินงบค่าประมาณกาหรือค่าน้ำมันที่ได้จากการเบิกจ่ายแน่นอน โรงเรียนบางแห่ง ครูบางคนไม่ได้เบิกเลย เพราะงบโรงเรียนเหลือน้อยจนเราต้องเสียสละ และครูบางคนก็เสียสละงบนี้ซะส่วนมาก(เกือบทุกคนไม่เบิกจ้า)
7.เพราะครูไม่มีรายได้เสริม
จะว่าไปแล้วเงินเดือนของครูเราก็เยอะพอสมควร แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับค่าเงินในปัจจุบันแล้ว เงินเดือนในยุคเก่าๆของครูสมัยก่อนซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเมื่อก่อนทองบาทละ 1 พัน ครูมีเงินเดือน 2-3 พัน ถือว่าซื้อทองได้ 1-3 เส้นกันเลยทีเดียว แต่ทุกวันนี้เงินเดือนครูสูงมาก ครูจบใหม่เงินเดือนอยู่ที่ 1.5 หมื่น แต่ทองก็ปาเข้าไปบาทละเกือบ 2 หมื่นแล้ว
ไหนจะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอีก ค่าต่างๆที่เล่ามาก่อนหน้านี้อีกทำให้เราต้องคืนภาษีกลับไปให้ชาติกันต่อไป จะเหลือก็เพียงเงินทอนอันน้อยนิดที่เราใช้ประทังชีวิตให้รอดพ้นจากความหิวโหย(โห…เศร้าเขียนให้รันทดนิดหน่อย ฮ่าๆ)
และถ้าจะให้ไปทำอาชีพเสริมยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเราไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น เช่น วันไหนใกล้ประเมิน เรียกได้ว่าไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย ต้องเตรียมเวลาและสถานที่ต้อนรับท่านพระเจ้านายที่มาประเมิน กันถึง 4-5 ทุ่ม นอนมันในโรงเรียนไปเลย ไหนจะงานเอกสารอีกที่หอบมาทำที่บ้าน เห็นแบบนี้ไม่ต้องห่วนเลย(ห่วง) ฮ่าๆ
แต่จะว่าไปแล้วเราก็พอมีรายได้เสริมอยู่บ้างนะ เช่นการเก็บกระดาษเอกสารเก่าๆที่เราประเมินผ่านไปแล้วชั่งกิโลขาย ก็ได้ตังค์หลายบาทอยู่บ้างนะ พอได้ซื้อข้าวเย็นกินกันทั้งครอบครัวได้พออิ่มกัน (โห…เศร้าไปอีก)
8.อาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้ซองเยอะ
ยิ่งถ้าเป็นครูที่สอนมานานก็จะยิ่งมีคนรู้จักมากตามอายุการทำงาน เพราะในแต่ละปีครูก็จะผลิตลูกศิษย์ออกไปสู่สังคมในแต่ละรุ่นมากมาย กอปรกับลักษณะงานของเราก็ต้องเกี่ยวข้องกับชุมชน วัด และเทศบาล ที่เรานั้นสอนอยู่
ครูเราจึงต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากมายตามหน้าที่ จึงทำให้มีผู้คนทั่วไปรู้จัก เรียกได้ว่าฮอตมาก ส่วนเรื่องของซองผ้าป่า งานบุญ งานบวช งานแต่งนี่ก็คงจะไม่ต้องพูดถึง เพราะมีมาตลอดไม่ขาดสาย ดั่งสายน้ำที่ไหลมาจากยอดเขาที่ไม่เคยมีวันได้เหือดแห้ง
บางครั้งครูเจอซองผ้าป่าวางอยู่หน้าบ้าน พอพลิกซองอ่านดูข้อความที่มาด้านหน้าซอง เราแทบจะไม่รู้จักเลยว่ามาจากใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ แต่แปลกตรงที่ว่าเขารู้จักเราได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนมามอบซองให้เรานั่นก็แสดงว่าเขามีความรักและนับถือเรา เราก็ต้องแสดงถึงความให้เกียรติกลับคืนไปโดยการใส่ซองนั้นกลับคืนไปและก็ต้องเดินทางไปเป็นเกียรติผู้มีแขก เฮ้ย แขกผู้มีเกียรติในงานที่เราสามารถไปได้
ชาวบ้านหรือลูกศิษย์มากมาย หากได้เจอครูในงานต่างๆที่เขาได้เชิญ เขาก็จะรู้สึกดีใจและประทับใจมาก เพราะถือว่าเราไม่ได้ลืมเขา
แต่ก็คงจะหนักไปหน่อยสำหรับงานบุญต่างๆ เพราะบางครั้งช่วงที่เข้าสู่เทศกาลล่าบุญของนักทำผ้าป่า บางทีซองผ้าป่าก็มาพร้อมๆกันจากจากทั่วทุกสารทิศเช่น 5-6 ซอง บ้าง บางครั้งฮิตถึง 10 ซองก็มี
ถ้ามาต้นเดือนก็คงจะสู้ไหวนิดหน่อย แต่ปลายเดือนนี่ก็คงจะต้องใส่ตาม
สภาพการเงินที่ร่อยหรอ
โดยเฉพาะเทศกาลของงานแต่งงานยิ่งเดือนกุมพา…นี่ฮิตกันเลย จะขยันแต่งกันไปไหนหลายคู่จริงๆ บางคนมีแต่งกันรอบสองรอบสามก็และก็สอดซองมาหาเรามาทุกครั้งซะด้วยสิ
จนบางครั้งเราก็จำเป็นต้องเขียนหน้าซองไว้ว่า “ซองนี้ใส่เผื่อครั้งครั้งหน้าด้วยนะ หากคิดจะแต่งอีก”
แล้วถ้าเราใส่น้อยๆเช่น 10 บาท 20 บาท เราก็อาจจะถูกเขาหาว่าเราเป็นครูกระจอก ขี้เหนียว ขี้งกอีก ก็จำเป็นต้องใส่ไป 40 บาท นี่สุดๆแล้วนะสำหรับปลายเดือน ถ้ามาต้นเดือนให้เต็มๆไปเลย 50 บาท ฮ่าๆ
ซึ่งบางครั้งมีนับเหรียญให้บางก็มี…
9.เพราะครูเครดิตดีเหลือเกิน
ครูเป็นอาชีพที่เครดิตดีมากเมื่อเทียบกับข้าราชการหลายหน่วยงาน เพราะเราแม้ไม่มีเงินเราก็ ไม่หนี ไม่ใช้ และไม่จ่าย เฮ้ย! ไม่ใช่…
เราเป็นอาชีพที่ต้องทำงานอยู่กับที่ตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ย้ายกันบ่อยๆเหมือนกับอาชีพอื่นๆหรอก และฐานเงินเดือนเราก็ค่อนข้างจะเยอะ (หากเทียบกับหน่วยงานอื่นก็ถือว่าเยอะพอสมควรแต่เงินทอนจะเหลือเท่าไหร่ไม่ว่ากันนะ) ซึ่งเงินเดือนของเรานี่แหละ เป็นอะไรที่ล่อเป้าดึงดูดบรรดาองค์กรปล่อยเงินกู้ ธุรกิจประกันภัย ห้างร้านขายสินค้าต่างๆให้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ
สังเกตกันได้ว่าหน่วยงานสินเชื่อ บัตรเครดิต หน่วยงานประกัน และหน่วยงานของธนาคารต่างๆจะเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยือนโรงเรียนของเราอยู่เป็นประจำ (มาบ่อยยิ่งกว่าคณะประเมินเสียอีก เอะ…หรือมาบ่อยเหมือนกันนะ ฮ่าๆ) ถ้าโรงเรียนใหญ่ๆก็ประมาณเดือนละ 3-4 ครั้ง เห็นจะได้ บางครั้งมีมาตั้งบูธขายของกันทั้งบริษัทเลยก็มี เอาสินค้ามาล่อตาล่อใจเราอยู่นั้นแหละ
ทีแรกก็กะจะเดินผ่านไปเฉยๆ เพราะกลัวได้ซื้อ แต่ทางบริษัทก็จะส่งหน่วยซุ่มยิงมาประกบติดตามเป็นรายคน บางครั้งเราก็ต้องเดินเลี่ยงให้ห่างเข้าไว้เป็นกิโล พนักงานขายก็ยังมองเห็นเราจนได้อีก มีตาทิพย์ยิ่งกว่าคุณเจนจิตสัมผัสซะอีก
แต่ก็มีหลายครั้งที่เราต้องใช้ไม้ตายขั้นสุดยอด เดินแอบไปหลบในห้องน้ำเพราะกลัวถูกติดตามเสนอขายสินค้า ขายประกัน (จากที่ได้ศึกษามาวิธีนี้ใช้ได้ผลที่สุด แม้อาจจะเหม็นไปหน่อย)
แต่ครูหลายคนก็พลาดท่าจนได้ โดยเฉพาะพนักงานขายที่สวยๆหล่อๆหุ่นดีๆแต่งตัวน่ารักๆมา
ยิ่งเป็นครูผู้ชายยิ่งแล้ว(กรณีเพื่อนผมเอง) ส่งพนักงานสาวๆสวยๆเข้ามาขาย เข้ามาคุยด้วย ส่งยิ้มให้นิด หว่านเสน่ห์ให้อีกหน่อย
จากใจที่แข็งประดุจหินก็ต้องมีอ่อนกันลงบ้างล่ะ แม้จะปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่ก็ต้องพลาดท่าจนได้ แถมมีขอเบอร์โทรศัพท์ ขอไลน์ติดต่อกันอีกด้วย เผลอๆได้แฟนเป็นคนขายประกันซะอีก
หน่วยงานทุกหน่วยงานต่างก็มีข้อเสนอต่างๆเพื่อให้ครูได้กู้ ถึงแม้จะเคยกู้มาบ้างแล้ว เขาก็ยินดีให้กู้อีก เครดิตหมดแล้ว ค้ำไปเต็มแล้วก็จะยังมีมาให้กู้อีก
ครูบางคนพึ่งบรรจุใหม่ๆอุดมการณ์ทางการเงินสูงมาก ใจแข็งและเด็ดเดี่ยว ชีวิตเปี่ยมล้นไปด้วยอุดมการณ์บอกกับทุกๆคนว่าจะไม่กู้แม้แต่บาทเดียว แต่ผ่านไปได้ไม่ถึงปี กู้ไปแล้ว 3 อย่าง ทั้ง ช.พ.ค. / สหกรณ์ และ ธนวัฏ อันนี้ถือได้ว่าถูกระบบเข้าครอบงำไปแล้ว
ก็เพราะสังคมเราถูกแวดล้อมไปด้วยของแบบนี้ไงละครับ อีกทั้งเราก็จำเป็นจะต้องใช้จ่ายด้วยจากประเด็นอื่นๆที่กล่าวมา ครูเราก็เลยจำเป็นต้องเป็นหนี้ แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไม่ได้จะเหมารวมกับครูทุกคนนะครับ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกรณีศึกษา สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เป็นหนี้ ก็เป็นหนี้กันเถอะครับ เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ แต่สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เป็นหนี้ ก็นับได้ว่าเป็นบุญอันประเสริฐ ขอปรบมือให้ด้วยใจที่นับถือจริงๆครับ
บางครั้งโลกจะหมุนไปทางไหน เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหมุนตามโลก ขอเพียงใจเราแข็งประดุจเพชรน้ำหนึ่ง ก็ไม่มีน้ำอะไรที่จะมาสามารถกัดกร่อนเพชรในใจของเราไปได้แน่นอน…เชื่อเถอะครับ การไม่มีหนี้เป็นลาบสุกที่ไม่มีเชื้อโรคแน่นอน(ลาภอันประเสริฐ)
ขอบคุณข้อมูล http://kruvoice.com
6049
ปฏิกิริยาของคุณคืออะไร?