จริงหรือ! การศึกษาไทย ยิ่งเรียน ยิ่งโง่? (บทความที่อยากให้ทุกท่านได้อ่าน) นับหนึ่งใหม่ยังไม่สาย
จริงหรือ! การศึกษาไทย ยิ่งเรียน ยิ่งโง่? (บทความที่อยากให้ทุกท่านได้อ่าน)ยิ่งเรียน ยิ่งโง่ระบบการศึกษา...นับหนึ่งใหม่ยังไม่สาย (แต่ต้องรออีก 25 ปี)ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระบบการศึกษาไทยที่เห็นๆ กันขณะนี้ ล้มสลายไปเรียบร้อย พังพินาศต่อเนื่องกันมาเป็นสิบปี ไม่ได้อยู่แค่ขั้นวิกฤติเข้าไอซียูอย่างที่นักวิชาการหลายท่านพูดปลอบใจอย่างไรก็ตาม ถ้าเราเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่วันนี้ เราจะยังมีเด็กรุ่นใหม่ให้เห็นเป็น เจน (เนอเรชั่น) A เกรด A อีกภายใน 20-25 ปี เพราะต้องผ่านประถม มัธยม อุดมศึกษา (อย่าลืมรวมชั้นอนุบาลด้วย) และต้องมีประสบการณ์ใช้งานได้ด้วยความสุขุม คัมภีรภาพ เพราะฉะนั้น ต้องจํากัดและกําจัดผู้สร้างระบบวงจรอุบาทว์ที่เกิดในขณะนี้ให้ได้ก่อนด้วยจริงๆ แล้วผู้เขียนก็มิได้มีอะไรวิเศษวิโสกว่าท่านทั้งหลาย กล่าวคือ ต้องก้มหน้าก้มตาทํางานเป็นข้ารับใช้ระบบที่ต้องมีภาระงานนานาตามที่กําหนดแต่ ณ สถานการณ์ปัจจุบัน คงได้เห็นหลักฐานแจ้งประจักษ์แล้วว่า วงจร (อุบาทว์) การศึกษาของไทย นอกจากไม่สร้างคน ยังทําลายคนรุ่นใหม่อย่างไม่ยั้งมือตั้งแต่อนุบาลกลัวเข้าโรงเรียนดังไม่ได้ จับเด็กเล็กที่ควรพัฒนาสมองให้เปิดกว้างซึมซับธรรมชาติอย่างถูกต้อง จับมาท่องศัพท์ คิดเลข อัจฉริยะ ขั้นมัธยมมีติว จะเข้ามหาวิทยาลัยยิ่งหนัก การเรียนการสอนนอก ระบบห้องเรียนแท้จริงคือจับเข้าอีกห้องของโรงเรียนกวดวิชา ที่ครูติวมีชื่อเสียงแถมรวยอีกต่างหาก เพราะติวตรงข้อสอบให้ตอบตรงที่ถามเพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสอบ ช่างมัน เพื่อให้ไต่เต้าระดับการศึกษาจนจบปริญญาโท-เอก ความใฝ่รู้ หาความรู้ด้วยตนเอง เป็นแค่คําขวัญและความฝันของกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นแค่โฆษณาและเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาแห่งชาติตามตัวหนังสือโก้เก๋ผมมีโอกาสไปสอนแพทย์จากอินเดีย เนปาล มัลดีฟส์ เป็นเวลา 6 วัน ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นภารกิจของการเป็นศูนย์ร่วมองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับไวรัสสัตว์สู่คนสิ่งที่เห็นชัดเจนที่แตกต่างหลังมือเป็นหน้ามือ คือ ไม่มีใครหลับตั้งแต่ 08.30 ยัน 17.30 เตรียมคําถามมาเพียบ เอารูปผู้ป่วยมาให้ดู ถกปัญหาที่มีในปัจจุบันและปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคต ทั้งที่เกิดในพื้นที่เอง และจากนอกพื้นที่เข้ามา โดยที่รอบๆ ตัวมีสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า ยุง เห็บ ริ้น และโรคติดต่อสารพัด และยังมีโรคที่ไม่ติดต่อแต่เกิดจากความเจริญของมนุษย์ ได้แก่ โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ฯลฯ ตลอด 6 วันแม้จะชื่นใจที่งานลุล่วงและเป็นแม่แบบในการอบรมครั้งต่อๆ ไป แต่อดสะท้อนใจไม่ได้กับสภาพของนักเรียน นิสิตในเมืองเราเองความที่ต้องอยู่ในแวดวงการศึกษามาหลายสิบปีจะโทษนักเรียนก็ไม่ถูก เพราะแต่ละหลักสูตร แต่ละรายวิชาหวังดี ยัดเยียดความรู้ประดามีในโลกให้เด็กกันมโหฬาร เด็กเองไม่มีโอกาสคิดด้วยซํ้าว่ามีข้อสงสัยไหม ต้องเล็งว่า ครูสอนเน้นตรงไหนสําหรับสอบ ไม่เคยรู้ว่าปัญหาเมืองไทยอยู่ที่ไหน เรียนเรื่องวิชาต่างๆ มากมายจนแยกไม่ออกว่าตรงไหนสําคัญสําหรับชีวิต และสําหรับการทํางานในอนาคตเพื่อตนเองและสังคม ไม่มีโอกาสหาความรู้รอบตัว อ่านหนังสือพิมพ์ ติดตามข่าวสารความเป็นไปในโลก ตอบให้แม่นเวลาสอบ เก็บคะแนนเป็นของขวัญพ่อแม่ เพื่อได้ประดับตนในการเรียนต่อในขั้นสูงระดับอุดมศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัยมุ่งเกียรติยศ ตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 100 ของมหาวิทยาลัยโลก เอางานวิจัยเป็นสําคัญ เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย อาจารย์ที่เดี๋ยวนี้เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เงินเดือนต๊อกต๋อย ต้องทําวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติที่มีแต้มต่อสูง (Impact Factor) ทุนก็หายาก เวลาก็ไม่มี บ้านก็ต้องเช่าหรือยังผ่อน ครอบครัวก็เพิ่งเริ่มต้น ได้งานวิจัยแบบเบี้ยหัวแตก ตอบโจทย์ให้ใครไม่รู้ โดยหารู้ไม่ว่าประเทศที่เจริญแล้ว การเติบโตเป็นทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นนํ้า กลางนํ้า ปลายนํ้า จนถึงมีผลผลิตใช้งานได้จริงแต่ระบบการศึกษาของไทยขั้นสูงสุด คือ ยึดกล่องพุ่งต้นนํ้าก็ไม่ถึงซักที โนเบลก็ไม่ได้ จะว่ายมากลางนํ้า ก็ส่งผ่านต่อไปได้ไม่ถึงปลายทาง วกวนกับงานวิจัยที่แข่งกับฝรั่งในเรื่องที่ต้นทุนเราไม่พอโดยไม่ตอบโจทย์ประเทศไทย ทีงานวิจัยที่ต้องการคําตอบไม่มีใครแย่งทํา เพราะตีพิมพ์ไม่ได้ ไม่ผ่านภาระงาน พิจารณาขึ้นขั้นไม่ได้ เป้าหมายการศึกษายังหวังสร้างปริญญาเอกเป็นแสน เพื่ออะไรครับ เพื่อผลิตรายงานการวิจัยเพิ่มให้มหาวิทยาลัยจีน อินเดีย ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว มีไหมครับงานวิจัยตีพิมพ์สวยหรู แต่วางแผน สร้างความรู้ เทคโนโลยีตั้งแต่ ต้นนํ้าจนถึงปลายนํ้า ผลิตยาได้เอง มีสินค้าไฮเทคส่งออกทั่วโลก ผลิตเครื่องจักร รถไฟ รถไฟฟ้าได้เอง ราคาถูก แต่เมืองไทยส่งขบวนรถไฟฟ้ามา มีนักการเมืองตั้งแถวรอรับ รถไฟฟ้า (ฮา....หลายๆ ครั้ง) และจีน อินเดีย ปัจจุบันเริ่มมีงานวิจัยชั้นนําตีตลาดการวิจัย เพราะฉะนั้น ตัวอย่างที่เห็นต้องนํามาตอบโจทย์ประเทศไทยฮ่องกงเอง แต่ก่อนไม่ได้มีบทความตีพิมพ์มากมาย แต่โรคระบาดซาร์ส สามารถปรับตัวเข้าสถานการณ์หยุดยั้งโรคไม่ให้ล้มตาย ซึ่งอาจเป็นหมื่นเป็นแสน รวมทั้งมีการควบคุมโรคระบาดทางระบบทางเดินหายใจซึ่งอันตรายสูงสุดได้อย่างเด็ดขาด มีข้าราชการ นักการเมืองไทยมากหลายเดินทางไปดูงาน นอกจากของช็อปปิ้งกับไปเล่นการพนันที่เกาลูน มีอะไรมาปรับปรุงมั่งไหมครับเพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ ข้าราชการ นักการเมือง อาจารย์ต่างๆ บินไปประชุมดูงานต่างประเทศ ถ้าไม่สามารถนําความรู้ที่ไปขอดูมา มาใช้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพประเทศไทยได้ ให้ชําระเงินค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าใช้จ่าย คืนพร้อมดอกเบี้ย งานประชุมระดับโลกดูงานต่างประเทศจะเห็นผู้แทนจากเมืองไทยอยู่ในสัดส่วนสูงที่สุด โดยมีผลงานร่วมการประชุมน้อยที่สุดครู อาจารย์ของไทยยังรับบทหนักผลิตงานกระดาษ ยืนยันว่ามีภาระงานตามเกณฑ์ ที่ภาระงานไม่ถึงก็ต้องเคี่ยวเข็ญให้มีการสอนเพิ่มขึ้น ตกหนักซวยกับนักเรียน วิตกจริตว่าไม่มีงานวิจัยตีพิมพ์ตามเงื่อนไข เวลาการจ้าง หรือเพื่อตําแหน่งวิชาการตามกําหนด จะหาเวลาที่ไหนมาใส่ใจการพัฒนานักเรียน นิสิต นักศึกษา นอกจ
จริงหรือ! การศึกษาไทย ยิ่งเรียน ยิ่งโง่? (บทความที่อยากให้ทุกท่านได้อ่าน)
ยิ่งเรียน ยิ่งโง่
ระบบการศึกษา...นับหนึ่งใหม่ยังไม่สาย (แต่ต้องรออีก 25 ปี)
ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ระบบการศึกษาไทยที่เห็นๆ กันขณะนี้ ล้มสลายไปเรียบร้อย พังพินาศต่อเนื่องกันมาเป็นสิบปี ไม่ได้อยู่แค่ขั้นวิกฤติเข้าไอซียูอย่างที่นักวิชาการหลายท่านพูดปลอบใจ
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่วันนี้ เราจะยังมีเด็กรุ่นใหม่ให้เห็นเป็น เจน (เนอเรชั่น) A เกรด A อีกภายใน 20-25 ปี เพราะต้องผ่านประถม มัธยม อุดมศึกษา (อย่าลืมรวมชั้นอนุบาลด้วย) และต้องมีประสบการณ์ใช้งานได้ด้วยความสุขุม คัมภีรภาพ เพราะฉะนั้น ต้องจํากัดและกําจัดผู้สร้างระบบวงจรอุบาทว์ที่เกิดในขณะนี้ให้ได้ก่อนด้วย
จริงๆ แล้วผู้เขียนก็มิได้มีอะไรวิเศษวิโสกว่าท่านทั้งหลาย กล่าวคือ ต้องก้มหน้าก้มตาทํางานเป็นข้ารับใช้ระบบที่ต้องมีภาระงานนานาตามที่กําหนด
แต่ ณ สถานการณ์ปัจจุบัน คงได้เห็นหลักฐานแจ้งประจักษ์แล้วว่า วงจร (อุบาทว์) การศึกษาของไทย นอกจากไม่สร้างคน ยังทําลายคนรุ่นใหม่อย่างไม่ยั้งมือ
ตั้งแต่อนุบาลกลัวเข้าโรงเรียนดังไม่ได้ จับเด็กเล็กที่ควรพัฒนาสมองให้เปิดกว้างซึมซับธรรมชาติอย่างถูกต้อง จับมาท่องศัพท์ คิดเลข อัจฉริยะ ขั้นมัธยมมีติว จะเข้ามหาวิทยาลัยยิ่งหนัก การเรียนการสอนนอก ระบบห้องเรียนแท้จริงคือจับเข้าอีกห้องของโรงเรียนกวดวิชา ที่ครูติวมีชื่อเสียงแถมรวยอีกต่างหาก เพราะติวตรงข้อสอบให้ตอบตรงที่ถาม
เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสอบ ช่างมัน เพื่อให้ไต่เต้าระดับการศึกษาจนจบปริญญาโท-เอก ความใฝ่รู้ หาความรู้ด้วยตนเอง เป็นแค่คําขวัญและความฝันของกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นแค่โฆษณาและเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาแห่งชาติตามตัวหนังสือโก้เก๋
ผมมีโอกาสไปสอนแพทย์จากอินเดีย เนปาล มัลดีฟส์ เป็นเวลา 6 วัน ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นภารกิจของการเป็นศูนย์ร่วมองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับไวรัสสัตว์สู่คน
สิ่งที่เห็นชัดเจนที่แตกต่างหลังมือเป็นหน้ามือ คือ ไม่มีใครหลับตั้งแต่ 08.30 ยัน 17.30 เตรียมคําถามมาเพียบ เอารูปผู้ป่วยมาให้ดู ถกปัญหาที่มีในปัจจุบันและปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคต ทั้งที่เกิดในพื้นที่เอง และจากนอกพื้นที่เข้ามา โดยที่รอบๆ ตัวมีสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า ยุง เห็บ ริ้น และโรคติดต่อสารพัด และยังมีโรคที่ไม่ติดต่อแต่เกิดจากความเจริญของมนุษย์ ได้แก่ โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ฯลฯ ตลอด 6 วัน
แม้จะชื่นใจที่งานลุล่วงและเป็นแม่แบบในการอบรมครั้งต่อๆ ไป แต่อดสะท้อนใจไม่ได้กับสภาพของนักเรียน นิสิตในเมืองเราเอง
ความที่ต้องอยู่ในแวดวงการศึกษามาหลายสิบปีจะโทษนักเรียนก็ไม่ถูก เพราะแต่ละหลักสูตร แต่ละรายวิชาหวังดี ยัดเยียดความรู้ประดามีในโลกให้เด็กกันมโหฬาร เด็กเองไม่มีโอกาสคิดด้วยซํ้าว่ามีข้อสงสัยไหม ต้องเล็งว่า ครูสอนเน้นตรงไหนสําหรับสอบ ไม่เคยรู้ว่าปัญหาเมืองไทยอยู่ที่ไหน เรียนเรื่องวิชาต่างๆ มากมายจนแยกไม่ออกว่าตรงไหนสําคัญสําหรับชีวิต และสําหรับการทํางานในอนาคตเพื่อตนเองและสังคม ไม่มีโอกาสหาความรู้รอบตัว อ่านหนังสือพิมพ์ ติดตามข่าวสารความเป็นไปในโลก ตอบให้แม่นเวลาสอบ เก็บคะแนนเป็นของขวัญพ่อแม่ เพื่อได้ประดับตนในการเรียนต่อในขั้นสูงระดับอุดมศึกษา
แต่ละมหาวิทยาลัยมุ่งเกียรติยศ ตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 100 ของมหาวิทยาลัยโลก เอางานวิจัยเป็นสําคัญ เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย อาจารย์ที่เดี๋ยวนี้เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เงินเดือนต๊อกต๋อย ต้องทําวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติที่มีแต้มต่อสูง (Impact Factor) ทุนก็หายาก เวลาก็ไม่มี บ้านก็ต้องเช่าหรือยังผ่อน ครอบครัวก็เพิ่งเริ่มต้น ได้งานวิจัยแบบเบี้ยหัวแตก ตอบโจทย์ให้ใครไม่รู้ โดยหารู้ไม่ว่าประเทศที่เจริญแล้ว การเติบโตเป็นทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นนํ้า กลางนํ้า ปลายนํ้า จนถึงมีผลผลิตใช้งานได้จริง
แต่ระบบการศึกษาของไทยขั้นสูงสุด คือ ยึดกล่องพุ่งต้นนํ้าก็ไม่ถึงซักที โนเบลก็ไม่ได้ จะว่ายมากลางนํ้า ก็ส่งผ่านต่อไปได้ไม่ถึงปลายทาง วกวนกับงานวิจัยที่แข่งกับฝรั่งในเรื่องที่ต้นทุนเราไม่พอโดยไม่ตอบโจทย์ประเทศไทย ทีงานวิจัยที่ต้องการคําตอบไม่มีใครแย่งทํา เพราะตีพิมพ์ไม่ได้ ไม่ผ่านภาระงาน พิจารณาขึ้นขั้นไม่ได้ เป้าหมายการศึกษายังหวังสร้างปริญญาเอกเป็นแสน เพื่ออะไรครับ เพื่อผลิตรายงานการวิจัยเพิ่มให้มหาวิทยาลัย
จีน อินเดีย ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว มีไหมครับงานวิจัยตีพิมพ์สวยหรู แต่วางแผน สร้างความรู้ เทคโนโลยีตั้งแต่ ต้นนํ้าจนถึงปลายนํ้า ผลิตยาได้เอง มีสินค้าไฮเทคส่งออกทั่วโลก ผลิตเครื่องจักร รถไฟ รถไฟฟ้าได้เอง ราคาถูก แต่เมืองไทยส่งขบวนรถไฟฟ้ามา มีนักการเมืองตั้งแถวรอรับ รถไฟฟ้า (ฮา....หลายๆ ครั้ง) และจีน อินเดีย ปัจจุบันเริ่มมีงานวิจัยชั้นนําตีตลาดการวิจัย เพราะฉะนั้น ตัวอย่างที่เห็นต้องนํามาตอบโจทย์ประเทศไทย
ฮ่องกงเอง แต่ก่อนไม่ได้มีบทความตีพิมพ์มากมาย แต่โรคระบาดซาร์ส สามารถปรับตัวเข้าสถานการณ์หยุดยั้งโรคไม่ให้ล้มตาย ซึ่งอาจเป็นหมื่นเป็นแสน รวมทั้งมีการควบคุมโรคระบาดทางระบบทางเดินหายใจซึ่งอันตรายสูงสุดได้อย่างเด็ดขาด มีข้าราชการ นักการเมืองไทยมากหลายเดินทางไปดูงาน นอกจากของช็อปปิ้งกับไปเล่นการพนันที่เกาลูน มีอะไรมาปรับปรุงมั่งไหมครับ
เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ ข้าราชการ นักการเมือง อาจารย์ต่างๆ บินไปประชุมดูงานต่างประเทศ ถ้าไม่สามารถนําความรู้ที่ไปขอดูมา มาใช้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพประเทศไทยได้ ให้ชําระเงินค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าใช้จ่าย คืนพร้อมดอกเบี้ย งานประชุมระดับโลกดูงานต่างประเทศจะเห็นผู้แทนจากเมืองไทยอยู่ในสัดส่วนสูงที่สุด โดยมีผลงานร่วมการประชุมน้อยที่สุด
ครู อาจารย์ของไทยยังรับบทหนักผลิตงานกระดาษ ยืนยันว่ามีภาระงานตามเกณฑ์ ที่ภาระงานไม่ถึงก็ต้องเคี่ยวเข็ญให้มีการสอนเพิ่มขึ้น ตกหนักซวยกับนักเรียน วิตกจริตว่าไม่มีงานวิจัยตีพิมพ์ตามเงื่อนไข เวลาการจ้าง หรือเพื่อตําแหน่งวิชาการตามกําหนด จะหาเวลาที่ไหนมาใส่ใจการพัฒนานักเรียน นิสิต นักศึกษา นอกจากสอนให้จําๆ ไป และมีการประเมินผลความพึงพอใจของนักเรียน นักศึกษา แบบซื้อของในห้าง ดังนั้น ถ้าให้นักเรียนอ่านมาก่อนเพื่อมาถกปัญหา ก็จะถูกนักเรียนประเมิน และกลายเป็นว่าอาจารย์ขี้เกียจไม่ยอมสอน (ฮา....)
กล่าวโดยสรุป การสอนการเรียนขณะนี้ เข้าได้กับกินไม่ได้แต่เท่ ถมงบประมาณเข้าไปเถิดครับ ด้วยวิธีการคิด วิธีประเมินเดิมๆ เยาวชนเจน Z เจน Y ถึงวันๆ เมื่อว่างจากอ่านท่องตําราหัวโตเพื่อสอบ เลยต้องแก้เครียด เข้าผับ เต้นระบํา แถวสีลม กินเหล้า สูบบุหรี่ แก๊งเด็กต่างๆ นานา เพราะทั้งเด็ก ครู อาจารย์ ต่างตกในวงจรอุบาทว์
คิดไม่ออก เมื่อไหร่ พันธุ์เบบี้บูม เจน X และรุ่นก่อนหน้านี้ที่ออกกฎเกณฑ์จะยอมเกษียณไปซะที และตัวอย่างที่เห็นจะจะของความล้มเหลวในกระบวนการสร้างคน คือ ภาพบนจอโทรทัศน์การอภิปรายใน สภาของนักการเมือง ใช้เวลาหลายวัน หลายสิบชั่วโมง ข้อมูลในการอภิปราย หลักฐาน อย่างมากอภิปรายวันเดียวก็จบ ถ้าพูดแต่เนื้อ เหตุผล และชี้แจง แต่พูดวกไปวนมาผักบุ้งโหรงเหรง นี่ยังไม่นับคําพูดโกหกพกลม คําหยาบ
คงเห็นแล้วนะครับ บุคคลประเภทใดอันดับหนึ่งที่ควรจะจํากัด ขอโทษครับ กําจัดให้พ้นจากระบบของประเทศไทย คือ บุคคลพวกไหนเกี่ยวเนื่องกับทางพันธุกรรม มีความจําเป็นต้องปกป้องประเทศจากบุคคลเหล่านี้ไม่ตํ่ากว่า 3 ชั่วคน (ถ้าไม่หมดอาจต้องเป็น 7)
เริ่มแต่วันนี้อาจไม่สายนะครับ.
ขอบคุณที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ปฏิกิริยาของคุณคืออะไร?